วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

[บทความ] อีจงซอก คิมอูบิน Are you soul mate each other?


หลายคนคงจะเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับคำว่า โซลเมท (Soul mate) กันมาบ้าง  ยังมีอีกหลายความเข้าใจที่เรา ๆ ท่าน ๆ ยังคงสงสัยและไม่เข้าใจ  ก่อนอื่นเราควรมาทำความรู้จักกับคำว่าโซลเมทกันก่อน

โซลเมท (Soul mate)  หรือ  เนื้อคู่  คู่แท้  อาจมีความหมายถึง  คู่รัก  เพื่อนรัก  คนในครอบครัว  หรือใครก็ได้ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ หรือความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน  อาจจะเป็นในแบบเพื่อนร่วมงาน  คนที่เดินผ่าน  หรือแม้แต่คนที่ได้พบได้เจอกันเพียงชั่วครั้งชั่วคราว  หรืออีกนัยหนึ่งหากลองไปเปิดพจนานุกรม  จะพบว่าคำ ๆ นี้ยังหมายถึง  คู่แท้  คู่รัก  บุคคลที่ร่วมวิญญาณกัน

จากการศึกษาพบว่าโซลเมทได้ถูกแบ่งเป็นหลากหลายประเภท  แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วต่างมีความเกี่ยวข้องต่อเนื่องซึ่งกันและกัน

ผู้เขียนจะอธิบายเกี่ยวกับความหมายของแต่ละประเภทพอสังเขป
Companion Soul mates. คือพื้นฐานทั่วไปแบบที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดของโซลเมท  มีความหมายถึง  คนทั่วไป  คนที่ผ่านมา  ที่มาช่วยเหลือเรา  หรือทำสิ่งดี ๆ ให้กับเราโดยใช้เวลาร่วมกันในระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราทำสิ่งดี ๆ ด้วยคำพูดหรือการกระทำของเขา
Karmic Soul mates. เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือคู่เวรคู่กรรมนั่นเอง  โซลเมทในรูปแบบนี้คิดว่าคงได้พบเจอกันมาบ้าง  โซลเมทแบบนี้คือคนที่นำทุกข์นำโศกมาให้  อาจจะเป็นสามี  ภรรยา  เพื่อนร่วมงาน  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วนำพาให้เราเสียใจ  โซลเมทประเภทนี้จะทำให้เราได้รับรู้ถึงความมีคุณค่าของโซลเมทในแบบอื่น ๆ
Twin Soul mates. โซลเมทในรูปแบบนี้เป็นโซลเมทที่กำกึ่งในความสัมพันธ์  อาจจะเป็นเพื่อนแท้  เพื่อนตายหรือคู่ชีวิตก็อาจเป็นได้  โซลเมทประเภทนี้คือคนที่นำสิ่งดีมาสู่ชีวิต  อาจร่วมทุกข์ร่วมสุขและแบ่งปันกันในทุก ๆ เวลา  คนที่มองตาก็รู้ใจซึ่งความหมายดูใกล้เคียงกับโซลเมทอีกประเภทที่กำลังจะกล่าวถึง  ในหนึ่งคนอาจจะมีหลายคนที่เป็นโซลเมทในแบบนี้ก็ได้
Twin Flame Soul mates. คือโซลเมทแบบที่เราทุกคนน่าจะคิดถึง  นั่นคือคนที่เป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่หายไป  เมื่อได้พบจะรู้สึกราวกับว่าชีวิตถูกเติมเต็ม  และนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในที่สุด  ว่ากันว่าโซลเมทประเภทนี้จะมีเพียงแค่คนเดียวในชีวิตของคนหนึ่งคน

ทั้งหมดทั้งมวลที่ร่ายยาวมาราวกับวิทยานิพนธ์สอบปริญญาเอกนี้  ทั้งหมดก็เพียงเพื่อจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างคู่เพื่อนซี้คนดัง  ที่ทำให้ผู้เขียนสนใจในคำ ๆ นี้ขึ้นมา

อีจงซอก  คิมอูบิน  คู่จิ้นแห่งปี 2013  ที่ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าในนาทีนี้ไม่มีคู่จิ้นวาย (จะหาโอกาสเขียนเรื่องนี้ในโอกาสถัดไป)  คู่ไหนจะร้อนแรงและเป็นที่สนใจของสาวกเกาหลีมากไปกว่าคู่นี้อีกแล้ว

ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างคู่เพื่อนรักคู่นี้ว่า  ทั้งสองคนมารู้จักและสนิทสนมกันจากการร่วมงานกันในละครที่โด่งดังที่สุดแห่งปีเรื่องหนึ่งอย่าง School 2013 แต่ความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของคู่นี้ได้เริ่มต้นตั้งแต่ทั้งคู่ยังเป็นนายแบบร่วมรันเวย์ในวัยทีนเอจ  จากบทสัมภาษณ์บางตอนที่อูบินพูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่พัฒนาผ่านวันเวลา  จนกลายมาเป็นเพื่อนซี้ย่ำปึ๊กกันในที่สุดที่ว่า

ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันมาก่อนแต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าเราจะรู้จักนิสัยส่วนตัวของกันและกัน  เพราะเราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันแบบจริงจัง  แต่ระหว่างที่เราถ่ายละครทำให้ผมรู้จักจงซอกมากขึ้นแล้วก็พบว่าเรามีอะไรที่เหมือนกันเยอะมาก  แม้ว่าบุคลิกของเราจะต่างกัน  แต่ของที่ชอบ ความคิด หรือแม้แต่อะไรที่เป็นปัญหาสำหรับเรากลับเหมือนกันมากจริง ๆ ครับ  เพราะเราเกิดปีเดียวกัน  เราก็เลยรู้สึกอะไร ๆ เหมือนกันไปหมดเลย ฮาฮ่า ~ จงซอกและผมสนิทกันเพราะโรงเรียนใช่มั๊ย โรงเรียนของเราสุดยอดเลย ~!

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับโซลเมท???
ก็นั่นสินะ  เกี่ยวยังไง

ความจริงก็คือผู้เขียนพยายามจะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ว่าจริง ๆ แล้วสองคนนี้เป็นโซลเมทประเภทไหนของกันและกัน

สิ่งที่ดูจะใช้นิยามความเป็นคู่จงบินไม่ได้เลยก็คือคำว่า Companion Soul mates  ส่วน  Karmic Soul mates  แม้ทั้งคู่จะเคยพูดว่า  รู้สึกเหมือนถูกแยกจากคนรักตอนที่ School 2013 จบ  แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น  เป็นอันว่าตัดสองคำนี้ไปได้เลย
เหลือ Twin Soul mates กับ Twin Flame Soul mates  ที่อาจจะอธิบายความสัมพันธ์ของทั้งสองคนได้  แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นโซลเมทประเภทไหนกันแน่
ลองมาดู Twin Soul mates กับความเป็นจงบินกันก่อน  ในกรณีนี้น่าจะเทียบเคียงได้ถึงความสัมพันธ์ที่ทั้งสองคนมีต่อกันในปัจจุบัน  คำพูด  หรือการแสดงออกที่ต่างฝ่ายต่างแสดงออกต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลังดูจะเชื่อมโยงกับคำนี้ได้ดี 
มีบางช่วงบางตอนจากงานแฟนมีตติ้งที่พูดถึงงานละครที่ผ่านมา  และหนึ่งในนั้นก็คือ School 2013  มีแฟนแอคที่แอบบอกเล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างจงซอกกับอูบินได้น่ารัก  น่าหยิก  อย่างเช่น  เมื่อมีคลิปวีดีโอที่มีอูบินปรากฏอยู่บนจอ  จงซอกก็จะหัวเราะออกมาในทันที
หรือ  แม้แต่ในงานแฟนไซน์ที่อูบินถูกแฟนคลับถามว่าเขาชอบจงซอกหรือไม่  เขาก็ตอบว่าชอบทันที  หลากหลายเหตุการณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน  จนถึงขั้นมองตาก็รู้ใจอย่างที่อูบินเคยพูดถึง

ใน School 2013 มีซีนที่ฮึงซูกับนัมซุนคืนดีกันตอนที่กินราเมน  เราได้บทก่อนถ่ายทำประมาณ 30 นาที  มีบทสนทนาเยอะมากที่เราจะต้องจำให้หมด ผมไม่ได้ซ้อมกับจงซอกเลย  แต่เราก็ผ่านมาได้ด้วยเทคเดียว  เป็นครั้งแรกเลยครับที่ทำได้อย่างนั้น  นั่นเป็นครั้งแรกที่พบค้นพบว่าเราเข้ากันได้ดีเพียงแค่มองตากันและกัน

มาถึง Twin Flame Soul mates  ที่ก็ดูจะเหมาะกับความเป็นจงบินอยู่ไม่น้อย  แต่ต่างกันก็เพียงโซลเมทประเภทนี้นั้นดูจะเจาะจงกับคำว่าคู่ชีวิต  ที่เราคุ้นเคยกันในฐานะสามี-ภรรยาเสียมากกว่า  แต่หากจะมองดูให้ลึกแล้วจะพบว่าเราอาจจะยึดติดกับความเชื่อเก่า ๆ มากเกินไปจึงมองโซลเมทประเภทนี้ในมุมค่อนข้างแคบ  ในความหมายของโซลเมทประเภทนี้จริง ๆ แล้วไม่ใช่คู่ชีวิตที่มีความสัมพันธ์ทางเพศหรือข้อบ่งชี้อื่นใด  นอกจากคนสองคนที่เกิดมาเพื่อกันและกัน  มาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายของกันและกัน  ซึ่งหากนึกถึงคำพูดที่จงซอกเคยพูดถึงอูบินก่อนหน้านี้ก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับโซลเมทประเภทนี้

"แม้จะมีบางครั้งที่ผมไม่พร้อมที่จะถ่ายทำ แต่ตราบเท่าที่ผมมีคิมอูบินอยู่เคียงข้าง ผมก็จะมีความมั่นใจว่าผมจะทำได้ทุกอย่าง อูบินคือคู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผม"

หากมองถึงความแตกต่างของโซลเมทสองประเภทนี้แล้ว Twin Soul mates  และ Twin Flame Soul mates  ดูจะแตกต่างกันเพียงแค่ในหนึ่งชีวิตของเราอาจมี  Twin Soul mates  ได้หลายคน  แต่เราจะมี Twin Flame Soul mates  ได้เพียงคนเดียวในหนึ่งชีวิต  และด้วยความแตกต่างข้อนี้ทำให้ไม่อาจจำแนกได้ว่าทั้งสองคนเป็นโซลเมทประเภทไหนของกันและกัน  แต่นอกเหนือจากความสงสัยในคำจำกัดความสัมพันธ์ที่ทั้งสองคนมีต่อกันแล้ว  ยังมีสิ่งที่งดงามยิ่งกว่า  นั่นคือมิตรภาพที่ทั้งสองคนมีต่อกัน  ซึ่งไม่จำเป็นต้องสรรหาคำใดมานิยาม  เพียงแค่ได้เห็น  ได้มองสิ่งดี ๆ ที่ทั้งสองคนได้หยิบยื่นให้แก่กัน  เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนที่รักจงบินมีความสุข

แล้วคุณล่ะ  คิดว่าจงบินเป็นโซลเมทประเภทไหน






บทความนี้เขียนขึ้นมาจากการศึกษาค้นคว้าตามแหล่งอ้างอิงดังต่อไปนี้
โปรดนำออกไปพร้อมเครดิตเต็ม
http://89linewoobin.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

[บทความ] อีจงซอก คิมอูบิน The King of Bromance.




อีจงซอก  คิมอูบิน  The King Of Bromance.

โบรแมนซ์ (Bromance) หมายถึง “ผู้ชายถูกชะตากัน" เป็นคำที่มีความหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายสองคนที่ไม่มีเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง  มาจากคำว่า Brother + Romance  ในบางความหมายยังหมายถึงการกอดคอ  ถูกเนื้อต้องตัวกันระหว่างชายกับชาย  ที่เป็นชายแท้  ย้ำนะค่ะ  ว่าชายแท้กับชายแท้  ไม่ใช่เกย์

อริสโตเติลเคยพูดถึงแนวคิดที่คล้าย ๆ กับคำว่าโบรแมนซ์ไว้ว่า  "มีบางคนที่ต้องการสหายดี ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อมิตรแท้ เพราะพวกเขารักกัน โดยเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ"

จากคำกล่าวของอริสโตเติล  สังเกตได้ว่า  ความสัมพันธ์ในรูปแบบของโบรแมนซ์เกิดจากความไม่ตั้งใจ  ไม่ใช่เพราะใครหรือคนใดคนหนึ่งมุ่งประสงค์ในฝ่ายตรงข้าม  แต่หากความสัมพันธ์เกิดจากวันเวลาที่พาให้คนรู้จักกลับกลายมาเป็นคนสนิท  และในที่สุดก็ไว้วางใจกันจนถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัว  หรือกอดรัดกันโดยไม่มีความตะขิดตะขวงใจ

และแน่นอนว่าหากเรา ๆ หรือท่าน ๆ ได้ใช้คำว่าเพื่อนแท้  เพื่อนตายกับใครคนใดคนหนึ่งแล้ว  อาจหมายถึงความไว้วางใจจนถึงขั้นฝากฝังชีวิต  หรือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้อีกคนหนึ่งดูแล  ในส่วนหนึ่งทำให้ผู้เขียนนึกถึงสัมภาษณ์บางช่วงบางบทที่อีจงซอก  และคิมอูบินได้พูดถึงกันและกันก่อนหน้านี้

เมื่อคิมอูบินถูกถามถึงความรู้สึกที่มีต่อบทของนัมซุนใน School 2013  ละครยอดนิยมที่ทั้งสองสองคนร่วมแสดงนำด้วยกัน  และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พาให้ทั้งสองคนถูกจับตามองในฐานะคู่จิ้นจากแฟน ๆ

เขาได้พูดถึงนัมซุน  และในท้ายที่สุดก็หมายถึงอีจงซอกนั่นเอง  ว่า
 “ผมคงจะรักเลยล่ะ หากว่าผมจะสามารถดูแลเขาได้ตลอดชีวิตของผม”

และเมื่อไม่นานมานี้  ในงานแฟนมีตติ้งของอีจงซอกที่ไต้หวัน  เมื่อถูกถามว่าใครคือคนที่เขาอยากจะขอบคุณมากที่สุดใน School 2013  เขาก็เลือกที่จะขอบคุณ  คิมอูบิน  คู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา  พร้อมกับคำทิ้งท้ายที่ทำเอาแฟนคลับซาบซึ้งในมิตรภาพของทั้งสองคน
“เราจะเป็นเพื่อนกันไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของเราสองคน”

และเนื่องจากสังคมในทุกวันนี้เปิดกว้างมากขึ้น  ทำให้ผู้ชายกล้าเปิดเผยความรัก  หรือความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเพศเดียวกันมากขึ้น  ทำให้การใช้คำว่าโบรแมนซ์กับคู่หูคนดังไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ  และคนดังเหล่านั้นก็มักจะชอบที่จะได้รับการชื่นชมในแบบนั้นเสียด้วย


อีจงซอก  คิมอูบิน  ไม่ใช่คู่คนดังคู่แรกที่ได้รับการกล่าวขานว่าโบรแมนซ์  ยังมีคนดังระดับโลกที่เรารู้จักกันดีอย่าง  เบน  แอฟเฟลค  และ  แมตต์  เดม่อน  ที่ถือว่าเป็นคู่โบรแมนซ์คู่แรก ๆ ในวงการบันเทิง  ซึ่งทั้งสองคนต่างก็เปิดเผยถึงความสนิทสนมที่มีต่อกัน  ในขณะที่ต่างก็มีความสัมพันธ์กับคนรักของตัวเองในชีวิตจริง

เมื่อโลกทุกวันนี้หมุนเวียนเปลี่ยนไป  การที่ชาย-ชาย  หญิง-หญิงจะมีความสัมพันธ์ต่อกันและกันในแบบที่ลึกซึ้งแนบแน่นโดยปราศจากเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  และอย่าลืมว่าในโลกใบนี้พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์มาเพื่อไว้สืบเผ่าพันธ์แต่เพียงอย่างเดียว  หากแต่ท่านสร้างเราให้มารังสรรค์โลกใบนี้ให้งดงาม  ด้วยชีวิต  ความคิด  และการกระทำ




บทความนี้เป็นบทความที่ผู้เขียนเรียบเรียงจากการศึกษาค้นคว้า  ตามแหล่งอ้างอิงดังต่อไปนี้
  1. ↑ 1.0 1.1 1.2 Elder, John (2008-10-18). "A fine bromance"
  2.  Yaskua, Mitsu (2008-10-29). "11 brands of 'bromances'"
  3. http://gallantfoal.exteen.com/20081220/bromance
โปรดนำออกไปพร้อมเครดิต


วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

[แปล] [Spotlight] Lee Jong Suk’s First Fan Meeting in Taiwan





 นักแสดงอีจงซอกได้จัดงานแฟนมีตติ้งที่ประเทศไต้หวันในวันที่1 มิถุนายน  แฟนมีตถูกจัดขึ้นสำหรับแฟน ๆเพียงแค่ 300 คนที่จะได้มีโอกาสได้พบกับนักแสดงดาวรุ่งอย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว
อีจงซอกโด่งดังมาจากบทบาทการแสดงของเขาใน School 2013 และ Secret Garden 
จากบทบาทใน School 2013 ได้ช่วยกระตุ้นให้เขาโด่งดังเป็นอย่างมากในประเทศไต้หวัน  มิตรภาพระหว่างเขาและนายแบบนักแสดงคิมอูบินได้ถูกนำเสนอผ่านทางจอแก้ว สร้างความสนใจให้กับผู้ชมในแง่บวกเป็นอย่างมาก  ละครเรื่องใหม่ของอีจงซอก I Can HearYou เพิ่งจะออกอากาศไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน  แน่นอนว่าห้ามพลาด


 บรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความสนุกและราบรื่น  อีจงซอกใช้เวลาถึงสองชั่วโมงครึ่งในการสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม  พูดคุย ร้องเพลง  เต้น เล่นเกมส์   และจับฉลากเลือกผู้โชคดีในตอนท้าย

ช่างเป็นบุคคลที่มหัศจรรย์เสียจริงๆ อีจงซอกผู้เขินอายแต่ก็ยังสนุกสนานกับการอยู่บนเวทีและดูเหมือนว่าความเขินอายของเขาคือความน่ารักที่ไม่มีที่สิ้นสุด  เหนือสิ่งอื่นใด  ฉันรู้สึกราวกับว่าได้พบกับตัวจริงของอีจงซอกไม่ใช่เพียงแค่บทบาทที่เขาแสดงออกมาเท่านั้น  ฉันจะอธิบายถึงบางช่วงบางตอนในวัยเด็กของเขาที่ถูกนำเสนอผ่านทางหน้าจอบนเวที  เขาไม่ค่อยได้มีงานแบบนี้มากเท่าไรนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างประเทศ  ดวงตาที่เป็นประกายงดงามของเขาสามารถบรรยายความรู้สึกที่เขามีต่อบรรยากาศในงานได้เป็นอย่างดี


 ฉันเคยไปร่วมงานแฟนมีตติ้งมาก่อนหน้านี้ ในตอนนั้นฉันรู้สึกว่านักแสดงคนนั้นไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก แต่กับอีจงซอกฉันกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย  เขาพูดภาษาจีนไม่ได้เลยนอกจากคำแนะนำตัว  แล้วก็คำว่า “ผมรักคุณ”  ที่เขาบอกผ่านล่าม  ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความจริงใจและความเป็นมิตรของเขา  ในขณะเดียวกันคุณก็รู้สึกได้ว่าเขาอายมาก ๆเลย  เขาเล่นกีฬาเก่งมากซึ่งมันค่อนข้างเป็นผลดีกับงานที่เขาทำอยู่ ฉันจำแทบไม่ได้เลยว่ามีกี่ครั้งที่เราพากันกรี๊ดให้กับเขาเวลาที่เขามีท่าทีเอียงอาย  และเพราะความอายของเขานี่เองที่ทำให้เขามีเสน่ห์แล้วก็ทำให้บรรยากาศสนุกมากขึ้น

งานเริ่มต้นด้วยพิธีกรแนะนำอีจงซอกบนเวที ฉันพูดได้เลยว่าพิธีกรที่ถูกเลือกมาเหมาะสมกับงานนี้เป็นอย่างมาก  ดูตรงกันข้ามกับบุคลิกขี้อายของอีจงซอก  ผู้ชมต่างก็ส่งเสียงดัง  หัวเราะแล้วก็สนุกสุด ๆ เขายังคงรักษาบรรยากาศให้สนุกสนานและมีเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา


 ทันทีที่อีจงซอกปรากฏตัว  พร้อมกับล่ามของเขา  เขาส่งยิ้มไปทั่ว  นาทีแรกที่เขาก้าวขึ้นสู่เวทีเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย แต่เขาก็พยายามที่จะควบคุมตัวเองให้หายตื่นเต้นได้ในที่สุด  เขาบอกว่าเขาวิตกกังวลมาก  แล้วก็ตื่นเต้นมาก ๆ ตอนนี้เองที่เขาขอให้ผู้ชมช่วยอดทนเขาไปจนจบ  เป็นอะไรที่รู้สึกดีมากที่ได้เห็นว่าเขาไม่ได้ทำตัวเองให้เครียดจนเกินไป


งานแฟนมีตติ้งเริ่มต้นด้วยเซอร์ไพรส์ที่ไม่คาดฝันในงานแฟนมีตติ้งและคอนเสิร์ตที่ไต้หวัน โดยปกติแล้วจะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูป  ซึ่งมันสร้างความผิดหวังให้แฟน ๆเป็นอย่างมาก  อีจงซอกตัดสินใจที่จะยกเลิกข้อจำกัดนี้เพียงสองสามนาที  ให้โอกาสแฟน ๆ ได้ถ่ายรูปมากเท่าที่ต้องการ





เขาเดินเฉิดฉายหยุดเพื่อโพสท่าแล้วก็ล้อเล่นกับแฟน ๆ ไปทั่วเวที ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่งานจะเริ่ม


 ต่อจากนั้นเป็นการตอบคำถามสนุกๆ เมื่อหัวข้อการสนทนาที่ว่าการเป็นนายแบบของอีจงซอกถูกหยิบยกขึ้นมา เขาก็โชว์ความสามารถในการเดินแบบของเขาให้กับผู้ชมได้เห็น เขาเดินแบบไปพร้อมกับแบคกราวด์ที่ขึ้นอยู่ด้านหลังว่า “ผมรู้ว่าผมเซ็กซี่”    ตอนแรกดูเหมือนว่าเขาพยายามที่จะเดินแบบอย่างจริงจัง แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาหลังจากนั้นก็เลยกลายเป็นว่าเขาก็แค่เดินผ่านแฟนๆ ไปด้วยความร่าเริง

ดูเหมือนว่าความสนุกสนานแค่นี้จะยังไม่เพียงพอ  พิธีกรขอให้จงซอกโชว์ความสามารถในการเป็นนายแบบของเขาด้วยการเดินไปทั่วเวทีที่ล้อมรอบไปด้วยแฟนๆ ฉันให้คะแนนเขา A+เลยในฐานะที่เขารู้วิธีที่ทำให้แฟน ๆ ตื่นเต้น


อีจงซอกเดินกลับไปที่เก้าอี้ของเขาบนเวทีอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคำถาม  เขาถูกถามเกี่ยวกับความฝันในวัยเด็ก(เขาอยากจะเป็นนักแสดงตั้งแต่เป็นเด็ก) ก่อนหน้านี้เขามีประสบการณ์เกี่ยวกับเทควันโด (พ่อของเขาอยากให้เขาเริ่มสนใจเทควันโคเพราะกลัวว่าลูกชายอาจจะตกเป็นเหยื่อของพวกอันธพาล)  และอะไรที่เขาชอบทำเวลาว่าง(อยู่บ้านและพักผ่อน  เขาบอกว่าแฟน ๆมักจะทำให้การออกไปข้างนอกเป็นเรื่องเครียด) แล้วแฟน ๆ ก็ได้ดูคลิปบางส่วนจาก School 2013  ขณะที่ดู อีจงซอกดูเขินอายเล็กน้อย  จากเสียงที่แฟน ๆ พากันร้อง ทั้ง อู้วววว  อ่า.....  แล้วเขาก็หัวเราะไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เห็นหน้าคิมอูบินปรากฏอยู่บนจอ


 ต่อจากนั้นอีจงซอกก็เริ่มร้องเพลงแรกของค่ำคืนนี้  จากประสบการณ์เกี่ยวกับแฟนมีตติ้งของฉัน  มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นักแสดงจะร้องเพลงแค่ไม่กี่เพลง  และเพลงที่ร้องก็มักจะไม่เพราะสักเท่าไหร่  แต่อีจงซอกร้องเพราะมาก....  แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉย!  แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักร้องที่ดีสักเท่าไหร่แต่เขาก็สามารถเป็นคู่หูในการร้องคาราโอเกะที่ดีได้แน่นอน





กิจกรรมต่อไปคือการเปิดกระเป๋าของอีจงซอก  พิธีกรยังคงเล่นมุขตลกด้วยการบอกว่าอีจงซอกเป็นนักเรียนในชั้นเรียนของเขา   เริ่มต้นด้วยเสียงกระดิ่งของโรงเรียน  ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะ  โดยเฉพาะอีจงซอกที่เอาแต่หัวเราะอยู่ตลอดเวลา
ของที่อยู่ในกระเป๋าของเขา  เช่น  ครีมกันแดด  โคโลจญ์  แล้วก็ครีมทาผิว ถูกเอาออกมาวางให้เห็น  มีแฟนผู้โชคดีที่ได้รับเลือกจากเลขที่นั่งได้ขึ้นไปบนเวทีแล้วได้ใช้ของพวกนั้น


 ระหว่างที่ของแต่ละชิ้นถูกหยิบออกมา  พิธีกรก็พูดว่าเอาของแปลก ๆ พวกนี้มาโรงเรียนได้ยังไง  และช่างเป็นนักเรียนการแสดงที่แย่เสียจริง  และแน่นอนว่าการที่เขาทำผิดกฎ(ของโรงเรียน)  เขาจะต้องถูกลงโทษ  บทลงโทษแรกคือ  อีจงซอกต้องทำท่า 3 ท่าจากเพลง “ควีโยมิ” อันโด่งดัง



 เขาช่างน่ารักเสียจริง ๆ



และบทลงโทษต่อไปคือการเต้น  เป็นการเต้นที่จบลงด้วยเสียงหัวเราะของอีจงซอก  เพราะความสามารถในการเต้นอันน้อยนิดของเขา  การเต้นของเขาเป็นเอกลักษณ์  อย่างน้อยก็พูดแบบนี้ได้นะ  มันสนุกมากเลยที่ได้เห็นเขาแสดงอีกด้านที่ตลก ๆ ออกมา
อีจงซอกได้พักอีกนิดหน่อยระหว่างที่ดูวิดีโอจากเพื่อนคนดังของเขา  มียุนอึนเฮ  ไอยู แล้วก็สมาชิกทุกคนของ  Girls’ Generation


ตอนนี้มาถึงกิจกรรมลำดับที่สองของแฟน ๆ โต๊ะถูกนำวางที่กลางเวทีพร้อมกับกล่องที่มีสีต่างกันไปสามใบ  มีแฟนสามคนได้รับคัดเลือกเพื่อให้ไปแสดงโฆษณาที่พวกเขาเลือกได้จากการเปิดกล่อง  ไม่ใช่แค่ได้พูดคุยกับอีจงวอกเท่านั้นแต่พวกเขาจะได้รูปพร้อมลายเซ็นจากมือของจงซอกด้วย  เจ๋งสุด ๆ เลย



แปรงสีฟัน  หมวกนิรภัย  และชุดของเล่นรามยอนที่ทำจากพลาสติก  เส้นรามยอนดูแปลกมากจริง ๆ มันก็เลยทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะทานมันได้จริง ๆ แล้วก็ยังดูตลกที่ต้องทำท่าทานมันด้วย


กิจกรรมสุดท้าย  จับฉลากเลือกแฟนผู้โชคดีที่จะได้รับของขวัญจากเขา  ของที่เขาเอามาให้มี  แว่นกันแดด  บทละคร  เสื้อที่เขาสวมนอนเมื่อคืนก่อน  รองเท้าสีแดงที่เขาสวมขณะถ่ายทำ “School 2013” โดยของขวัญแต่ละชิ้นจะมีรูปอีจงซอกถือมันอยู่ด้วย



มีเหตุการณ์ที่น่าตลกเกิดขึ้นตอนที่ผู้หญิงที่สวมชุดนักเรียนได้ถูกเลือกขึ้นไปบนเวที  พิธีกรอุทานออกมาว่า “โอ้..ที่คุณสวมชุดนี้มาเพราะคุณความรักที่มีต่อ School 2013 ใช่ไหม”  เธอตอบว่า “ไม่ใช่คะ  พอดีเช้านี้ฉันมีเรียน”  อีจงซอกแกล้งตลกด้วยการกระโดดไปบังกล้องไม่ให้ถ่ายเธอ  เขาไม่อยากให้เธอมีปัญหากับแม่ของเธอ!


หลังจากการเปลี่ยนชุดที่แสนรวดเร็ว  ระหว่างที่เขานั่งอ่านจดหมายที่เขาเขียนเพื่อขอบคุณแฟน ๆ  ก็มีคลิบวิดีโอเกี่ยวกับงานที่ผ่านมาของเขา  ละคร  โฆษณาและการถ่ายแฟชั่น  เขาพูดเป็นภาษาเกาหลีโดยมีซับเป็นภาษาจีนขึ้นอยู่ที่จอด้านหลังเขา  เขาเน้นให้เห็นว่าเขารู้สึกดีมากเพียงไรที่มีโอกาสได้มาที่ไต้หวันและเขาหวังว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกบ่อย ๆในอนาคตข้างหน้า


เค้กที่มีเลข 1 ตัวใหญ่วางอยู่บนหน้าเค้กถูกนำออกมาเพื่อเฉลิมฉลองแฟนมีตติ้งครั้งแรกของเขาที่ไต้หวัน  ระหว่างที่พิธีกรกำลังพูด  อีจงซอกก็อดไม่ได้ที่จะเอานิ้วของเขาจิ้มไปที่เค้ก  เขาบอกว่าเขาคิดว่ามันเป็นของปลอม  โชคดีจริง ๆ ที่เขาพิสูจน์ได้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาผิด
ตลอดงาน  อีจงซอกยังทำหน้าที่ของเขาได้ดีด้วยการทักทายกับแฟน ๆ เขาทั้งโบกมือ  ยิ้ม  ส่งหัวใจและจูบ  มีบางครั้งที่เขาวอกแวกทำให้เขาไม่เข้าใจว่าล่ามพยายามจะบอกบอกอะไรกับเขา  ฉันรู้สึกสนุกกับการที่ได้มองดูท่าทางต่าง ๆ ของเขา  และฉันก็เข้าใจได้เลยว่าทำไมคนที่ได้ร่วมงานกับเขาจึงมีความสุขที่ได้ทำงานกับเขา


 มาถึงช่วงท้าย  อีจงซอกได้เตรียมเพลงมาร้อง  ตอนนี้มีเพลงจีนที่กำลังดังชื่อเพลง “Peng You”  มีความหมายถึงเพื่อน  เขาออกตัวว่าภาษาจีนของเขาไม่ดีพอที่จะร้องตามต้นฉบับ  เขาจึงขอร้องเป็นภาษาเกาหลีแทน  เหมือนช่วงคาราโอเกะสำหรับแฟน ๆ โดยเฉพาะตอนที่เขาขอให้ผู้จัดการและทีมงานมาสนุกกับเขาบนเวที  พวกเขาดูสนุกสนานมาก ๆ


 และก็มาถึงช่วงสุดท้าย  คำขอบคุณ  และ คำลา  แฟนมีตติ้งจึงได้จบลง  เป็นงานที่มหัศจรรย์มาก  การได้เจอกับอีจงซอกคนที่ทำให้ฉันรักเขามากขึ้น  บุคลิกขี้อายและจริงใจของเขาเป็นเสน่ห์ที่สมบูรณ์แบบ  ฉันคิดว่าทุกคนคงจะกลับบ้านไปพร้อมกับรอยยิ้ม


 และท้ายที่สุด  อีจงซอกยืนอยู่ที่ทางออกและจับมือกับแฟน ๆ ทุกคน  ฉันจินตนาการได้เลยว่าแก้มของเขาจะเจ็บมากแค่ไหนหลังจากที่เขาต้องยิ้มอยู่นานขนาดนั้น  ขอบคุณอีจงซอกสำหรับช่วงเวลาที่แสนยอดเยี่ยม
ฉันแทบจะรอดูไม่ไหวแล้วว่าเขาจะไปได้ไกลแค่ไหนในงานของเขา  และฉันคิดว่ายังมีสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากมายที่เตรียมไว้ให้อีจงซอก  อย่าลืมติดตามละครเรื่องใหม่ของเขา “I Hear Your Voice” ที่ออกอากาศไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว  เขาช่างน่ารักและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์จริง ๆ


Eng-Thai trans : @Bua2be
Please take out with full credit.
โปรดนำออกไปพร้อมเครดิตเต็ม





จากใจ : ที่จริงตั้งใจจะทำบล๊อคนี้เพื่อคิมอูบิน  แต่ก็อย่างที่รู้ว่าถ้ามีอูบินก็ต้องมีจงซอก  และการติดตามอูบินก็ทำให้รู้จักจงซอกเพื่อนรักของอูบินมากขึ้น

ทุกครั้งที่แปลหรืออ่านอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้จะทำใจกับตัวเองเลยว่า  นี่คือการฝังตัวเองลงไปในหลุมแห่งความรักที่มีต่อจงซอก

หากจะเปรียบอูบินเป็นเค้กชอคโกแลตที่ดูหนักแน่นเปี่ยมไปด้วยรูปรสกลิ่นที่ชวนให้ติดใจ  จงซอกก็คงเหมือนคาราเมลมักกิเอโต้หวานหอม  อารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้ลิ้มลอง

ไม่แปลกเลยที่เราจะสั่งคาราเมลมักกิเอโต้สักแก้วพร้อมกับเค้กชอคโกแลตชิ้นโต  มานั่งละเลียดทานในวันสบาย ๆ แล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความลงตัวอย่างคาดไม่ถึงของทั้งสองสิ่ง


วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

130601 ~the time jongsuk mentioned woobin at the fanmeeting~



~the time jongsuk mentioned woobin at the fanmeeting~
MC: Anybody else you needed to thank for ‘School 2013’?
(crowd starts yelling woobin)
Jong Suk: …Woobin? Kim Woo Bin-ssi… I was filming with him on a CF yesterday, and thought this about Woobin again — he is really a friend with a great character, and we can really be friends for the rest of our lives… I am really thankful that I have such a great friend.


เมื่อจงซอกพูดถึงอูบินที่งานแฟนมีตติ้ง

พิธีกร : ใน School 2013 มีใครไหมที่คุณอยากจะขอบคุณ (แฟน ๆ เริ่มตะโกนชื่ออูบิน)

จงซอก : อูบินเหรอ?  คุณคิมอูบินครับ ....  เมื่อวานนี้ผมไปถ่ายโฆษณากับเขามา  พอมาคิดเรื่องอูบินอีกครั้ง --- เขาเป็นเพื่อนที่นิสัยดีมาก ๆ  เราจะเป็นเพื่อนกันไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของเราสองคน  ผมรู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ ที่ผมได้มีเพื่อนที่ยอดเยี่ยมแบบเขา



Clip cr : Vicky Lin
KR-ENG trans : hitoritabi@tumblr.com
ENG-TH trans : @Bua2be
Please Take Out With Full Credit.

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

[แปล] อีจงซอก : In His Own Words.



It seems like Lee Jong Suk never assumed that he will enjoy a straight shot at fame like Jung Il-woo or Yoon Shi Yoon from the original “High Kick“.
“When I was younger, I used to think, can I become even more popular than I am now? But now that I am an actor, according to my company’s plans, I seem to developing much more quickly than I imagined. People recognize me to a certain extent, and I was able to participate in good projects. Of course, I have ambition. But when looking at the path of ‘actor’ Lee Jong Suk, I think I have progressed a bit too fast. Of course, an important thing to note is that I am younger than [Jung Il-woo and Yoon Shi Yoon], haha.” He shows his confidence even while being humble.
However, he is very clear-headed when it comes to critiquing his own performance. “Is I okay if I say this?” He hesitated for a moment. “It was the worst. (laughs) While I was filming for [HK3], there was not even a single moment when I felt like, ah, I am expressing the character well now. If it was like this even for myself, then other people who watch my acting must be thinking, where does this kid even get the guts to even act on screen?! That’s why I am still in the process of improving myself, until my acting satisfies everyone who watches, including myself.”
He wants to be 30 years old as soon as possible, not because he wants to jump onto the fast track and taste the fruit of success, but because he wants to get all that experience needed to be an excellent actor. It is an ambition “with reason”.
“When I see actors in their 20s, like Kim Soo Hyun, Shin Se Kyung and Yoo Ah In, I am still very far from them. We are around the same age and have had similar experiences, but when I compare myself to them, no matter on delivering lines or expressing emotions, I am not even in the same league. Would there ever be a day when I can watch myself act and say ‘wow’? It’s definitely not right now; that day seems quite far away.”
When filming “As One: Korea”, not only did he get trained up in acting, but also in his way of thinking. “After I became close with other actors playing supporting roles, I reflected upon myself. We were all one team when filming — the principal actors and the hyungs who weren’t even caught by the camera once, we would all film together. Some of them have auditioned numerous times just to speak one line, and some have prepared for years just to debut as a film actor. I thought to myself, have I really put in more hard work than these hyungs? I felt very apologetic afterwards. I really want to know if I did well in the end result. All in all, it’s not just now, I want to learn about acting endlessly.”
Three years after his debut, Lee Jong Suk’s plain ambition for acting can be summed up with these words, “Whatever happens, I’m fine as long as I’m on a filming set.” In his eyes, we can read his absolute passion to become “not any other role, but Actor Lee Jong Suk”.


ดูเหมือนว่าอีจงซอกจะไม่เคยคิดว่าเขาจะโด่งดังเหมือนกับจองอิลวูหรือยุนชิยุนจากบทบาทการแสดงใน High Kick.
“ตอนที่ผมยังเด็ก  ผมเคยคิดว่า ผมจะโด่งดังมากกว่าที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ไหม  แต่ตอนนี้ผมเป็นนักแสดง  ทำงานตามตารางงานของบริษัท  มันดูเหมือนว่าผมพัฒนาไปเร็วกว่าที่ผมคิดไว้  ผู้คนเริ่มจำผมได้ในระดับหนึ่ง  และมีโอกาสได้ทำงานดี ๆ แน่นอนครับ  ผมมีความฝัน  แต่เมื่อมองไปที่เส้นทางการเป็นนักแสดงของอีจงซอก  ผมคิดว่าผมก้าวหน้าเร็วเกินไป  และสิ่งที่สำคัญที่ต้องจดจำไว้ก็คือผมอายุน้อยกว่าจองอิลวูและยุนชียุน ฮ่าฮ่า” เขาดูมั่นใจแต่ก็ยังคงถ่อมตัว

ไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม  เขาฉลาดมากเวลาที่ต้องวิจารณ์การแสดงของตัวเอง “มันจะดีใช่มั๊ยถ้าผมจะพูดถึงมัน”  เขาลังเลไปชั่วขณะ “มันแย่มาก ๆ (หัวเราะ)  ตอนที่ผมกำลังถ่ายทำ High Kick 3 ไม่มีตอนไหนเลยที่ผมชอบ  อ่า... ในตอนนี้ผมสามารถแสดงบทบาทนั้นได้ดี  หากผมคิดแบบนี้คนอื่นที่ดูผมก็คงคิดเหมือนกัน    แล้วจะมีที่ไหนกันที่เด็กคนนี้จะแสดงความกล้าหาญในการแสดงของเขาผ่านทางหน้าจอได้  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมยังคงพยายามที่จะพัฒนาตัวเอง  จนกว่าที่การแสดงของผมจะได้รับการยอมรับจากทุกคนที่ดูผมอยู่  รวมถึงตัวผมเองด้วย”

เขาอยากจะอายุ 30 ปี  ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปเพื่อลิ้มรสกับรสชาดของความสำเร็จ   แต่เป็นเพราะว่าเขาต้องการสั่งสมประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับนักแสดงที่ดีให้มากที่สุด  มันคือความความทะเยอทะยานที่มีเหตุผล

“เวลาผมมองดูนักแสดงในช่วงวัย 20 อย่าง คิมซูฮยอน  ชินเซคยอง และยูอาอิน  ผมรู้สึกว่าผมยังห่างไกลจากพวกเขา  เรามีอายุใกล้เคียงกันและมีประสบการณ์ที่คล้าย ๆ กัน  แต่เวลาที่ผมเปรียบเทียบตัวเองกับพวกเขา  ไม่ว่าจะเป็นการส่งอารมณ์หรือการแสดงออกทางอารมณ์  ผมอยู่คนละชั้นกับพวกเขาเลย  จะมีวันที่ผมสามารถมองดูตัวเองแสดงแล้วพูดได้ว่า “ว้าวววว” หรือเปล่านะ  แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้แน่ ๆ ดูเหมือนว่าวันนั้นมันช่างห่างไกลเหลือเกิน”

ตอนที่ถ่ายทำ “As One: Korea” ไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียวที่ต้องได้รับการฝึกฝนด้านการแสดง  แต่เขาก็ยังคงคิดในแบบของเขา  “ หลังจากนี้ผมจะสนิทกับนักแสดงคนอื่น ๆ ผมคิดกับตัวเอง  ตอนที่ถ่ายทำเราจะเป็นทีมเดียวกัน  ทั้งนักแสดงหลักและพี่ ๆ ที่ไม่เคยถูกกล้องจับเลยแม้แต่ครั้งเดียว  เราจะถ่ายทำไปด้วยกัน  มีบางคนที่ต้องเข้าร่วมออดิชั่นหลายร้อยหลายพันครั้งเพื่อที่จะได้พูดเพียงแค่ประโยคเดียว  และบางคนที่เตรียมตัวเป็นปี ๆ เพียงเพื่อให้ได้เดบิวต์ในฐานะนักแสดง  ผมคิดกับตัวเองว่าผมจะควรจะต้องตั้งใจทำงานให้มาก  มากกว่าพี่ ๆ เหล่านั้น  ผมรู้สึกเสียใจหลังจากนั้น  ผมอยากจะรู้จริง ๆ ท้ายที่สุดแล้วผมจะทำมันได้ดีหรือเปล่า  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น  ผมอยากจะเรียนรู้ที่เกี่ยวกับการแสดงอย่างไม่สิ้นสุด”

สามปีหลังจากที่เขาเดบิวต์  อีจงซอกสามารถอธิบายความฝันของเขาได้ด้วยคำ ๆ นี้ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ตราบเท่าที่ผมยังคงอยู่ในกองถ่าย  ผมสบายดี”  เราสามารถเห็นความมุ่งมั่นในสิ่งที่เขาต้องการจะเป็นผ่านดวงตาของเขา  “ไม่ใช่แค่การแสดงทั่ว ๆ ไป แต่เขาคือนักแสดงอีจงซอก”


Source : hitoritabi@tumblr.com
Thai trans : @Bua2be
Please take out with full credit.