นี่ออกจะเกินคาด...
หากไม่มีเสียงเพลงที่กึกก้อง
การถ่ายแบบของคิมอูบินก็ช่างเงียบสงบ
ระหว่างที่การถ่ายแบบดำเนินไป
เขาจะเช็คตัวเองผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทีละภาพ โดยไม่พูดอะไรเลย แล้วก็พาตัวเองกลับไปอยู่ที่หน้ากล้องและเริ่มโพสท่าให้ได้องศาที่เขาต้องการ
หันหน้าให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสมและแสดงสีหน้าที่เหมาะกับท่าทาง ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ถูกถาม
“รู้สึกยังไงบ้าง / คุณคิดว่ายังไง”
เขาก็จะยิ้มกว้างพร้อมคำตอบ “ดีครับ”
เขามีเสียงทุ้ม ดวงตาแดงกล่ำ
วันที่ฉันพบกับคิมอูบินคือหลังจากเสร็จสิ้นการถ่าย The Heirs เป็นวันเดียวกับฉากงานปารตี้
ด้วยเหตุนี้
เขาดูเหนื่อยล้าจากการถ่ายทำจนถึงเช้า
การถ่ายแบบของ 1st Look เริ่มตอนบ่ายสอง เป็นงานที่สามของเขาในวันนี้ แน่นอนว่าเขาซ่อนความอ่อนล้าเอาไว้
แต่เมื่ออยู่เพียงลำพังสีหน้าของเขาจะไร้อารมณ์ แต่ทันทีที่ได้พบปะกับผู้คนเขาจะยิ้มทันที ที่นี่ไม่มีเด็กเกเร มีเพียงชายหนุ่มแสนสุภาพ กระตือรือร้น
อบอุ่น
และนี่คือสุภาพบุรุษคิมอูบิน
นี่ออกจะผิดคาดไปสักหน่อย
ฉันคิดว่าคุณจะเป็นคนประเภทที่ชอบเข้าสังคม แต่คุณกลับเป็นคนที่เงียบมาก
ผมเคยเป็นคนเงียบ ๆ และชอบเก็บตัว แต่การแสดงก็ทำให้ผมเปลี่ยนไป ผมเองก็ยังแปลกใจเลยครับ ผมเป็นคนเงียบ
แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องร่าเริงหรือจำเป็นจะต้องสดใสผมก็จะกลายเป็นคนที่ชอบเข้าสังคม อย่างเช่นเวลาที่อยู่กับเพื่อนสนิท ผมก็จะสนุกสนานมากขึ้น แต่วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยครับ ก็เลยทำให้ผมเงียบไปบ้าง
เพราะเมื่อวานนี้ต้องถ่ายทำตอนจบของละครทำให้ผมแทบจะไม่ได้นอนเลย ผมรู้สึกไม่ค่อยดีนิด ๆ น่ะครับ
ฉันคิดว่า “The Heirs” เป็นจุดเปลี่ยน ละครเรื่องนี้เปลี่ยนชีวิตคุณ เปรียบเทียบกับละครที่คุณแสดงก่อนหน้านี้ คุณรู้สึกอย่างไรหลังจากการถ่ายทำเสร็จสิ้น รู้สึกแตกต่างกันไหม
ตอนที่ School 2013 จบ ผมได้รับกำลังใจมากมาย แต่ตอนนี้มีคนสนับสนุนและสนใจผมมากขึ้น บทบาทของชเวยองโดคือวายร้าย แต่ทุกคนก็ยังรักเขา ผมต้องขอบคุณสำหรับสิ่งนี้
และสิ่งที่มาพร้อมกันก็คือความกดดันที่มากขึ้น ผมมีรุ่นพี่คอยให้กำลังใจ รุ่นพี่ลิมชางจองถามเบอร์โทรศัพท์ของผมจากรุ่นพี่คิมซูโรแล้วก็โทรมาหาผม เขาบอกผมว่า “นายทำได้เยี่ยมมาก แม้ว่ามันจะยาวนานแต่ก็จงเข็มแข็งไว้” มีหลายต่อหลายครั้งที่ผมอ่อนหล้า นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเข็มแข็ง
การถ่ายทำละครทำให้คุณเหนื่อยใช่ไหม
ก่อนหน้านี้ผมเป็นน้องเล็กในกองถ่าย ทำให้ได้รับแรงกดดันค่อนข้างน้อย แต่ตอนนี้
มีนักแสดงที่อายุน้อยกว่าผมตั้งหลายคน
ผมก็เลยคิดว่าผมต้องเป็นตัวอย่างแก่รุ่นน้อง ผมอยากจะให้น้อง ๆ
ได้รับทุกอย่างเหมือนที่ผมเคยได้รับจากรุ่นพี่ที่ผมทำงานด้วยก่อนหน้านี้ และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกขอบคุณด้วย
ตอนที่คุณเป็นนักแสดงอายุน้อยที่ต้องร่วมซีนกับรุ่นพี่ คุณก็จะกังวล
มันยุ่งยากซับซ้อนมากแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจด้วย แต่เมื่อรุ่นพี่พูดกับคุณ แม้แค่เพียงคำเดียว
เพียงเท่านั้นก็มากพอที่ทำให้ความเครียดของคุณหายไป เพียงแค่คำหรือสองคำ สิ่งดี ๆ ที่เขาปฏิบัติกับคุณเพียงเท่านั้นหัวใจของคุณก็รู้สึกลุกโชนขึ้นมาได้
แล้วอะไรคือสิ่งดี ๆที่คุณทำเพื่อดูแลรุ่นน้อง
ผมมักจะทำตัวตลกอยู่บ่อย ๆ ก่อนอื่นเลย
คุณจะต้องรู้สึกสบายใจมากพอที่จะสบตากับใครสักคน มันจะทำให้การแสดงง่ายขึ้นเพราะว่าเราก็จะดูเหมือนเพื่อนที่อายุเท่ากัน ผมก็เลยทำอะไรตลก ๆ
เล่าเรื่องส่วนตัวบางเรื่อง
แล้วก็แบ่งอาหารการกินให้พวกเขา
คุณต้องมีความสุขแน่ ๆ
เลยที่นักเขียนบทคิมอึนซุกเลือกคุณอีกครั้ง
ผมสนุกกับการถ่ายทำ "A Gentleman’s Dignity" มาก
หลังจากที่ละครจบลงผมก็หวังว่าเธอจะโทรหาผมอีก แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเร็วขนาดนี้นะครับ ผมขอบคุณเธอมากจริง ๆ
แล้วก็อยากจะตอบแทนที่เธอไว้ใจผม
ผมก็เลยกังวลมากทุกครั้งที่บทของตอนใหม่ถูกส่งมาให้ผม
ไม่ใช่แค่ใน “The Heirs” แม้แต่ใน “Friend
2” ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเวลาที่คุณแสดง สีหน้าของคุณแสดงออกได้ดีมาก
ผมไม่เคยฝึกซ้อมการแสดงออกทางสีหน้าเลยครับ
(ในละครเรื่องนี้) ในหนังสือชื่อ “I’m an actor” รุ่นพี่คิมยุนซอกกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณจริงใจ สีหน้าที่เหมาะสมก็จะแสดงออกมาเองโดยธรรมชาติ” ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เคยมองตัวเองในกระจกเวลาที่อ่านบทอีกเลย ตอนที่ผมเป็นนายแบบ
ผมจะฝึกซ้อมการแสดงออกทางสีหน้าแม้กระทั่งตอนที่ผมแปรงฟัน ทุกครั้งที่มองกระจกผมก็พยายามจะหาสีหน้าที่เท่ห์ที่สุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้เลิกกดดันตัวเองตั้งแต่ตอนที่ผมเริ่มเป็นนักแสดง ผมสนใจอยู่แค่การแสดงอารมณ์ที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์
คุณเพิ่มน้ำหนักเพื่อถ่ายทำ Friend 2 ใช่ไหม
ครับ
ผมเพิ่มน้ำหนักนิดหน่อย
แล้วก็ออกกำลังกายเยอะมาก
แต่ก็ไม่ใช่เพราะผู้กำกับบอกให้ทำนะครับ
ผมเพียงแต่คิดว่ามันคงจะดีถ้าผู้ชมจะรู้สึกถึงบทบาทของผมมากขึ้นแม้ว่ามันจะแค่เรื่องเล็กน้อยก็ตาม ก่อนวันที่จะถ่ายทำ ผมจงใจทานรามยอนก่อนนอนเพื่อที่หน้าผมจะได้ดูบวมแล้วก็ทำให้เหมือนว่าน้ำหนักผมเพิ่มนิดหน่อย
คุณไม่สนใจเลยว่าคุณจะดูเป็นยังไงเวลาที่อยู่บนจอ
ตอนที่ผมกำลังถ่ายทำ
ผมไม่เคยบอกตัวเองว่า “ฉันอยากจะให้คนเห็นว่าฉันหน้าตาดี”
ผมสนใจแค่การแสดงออกทางสีหน้าซึ่งมันเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่ามาก ผู้กำกับก็บอกว่าเขาชอบการแสดงของผม
คุณได้ดูที่จอนโดยอนพูดถึงคุณในบทสัมภาษณ์ของเธอหรือไม่
ครับ ผมดู ผมรู้สึกขอบคุณเธอ ถึงผมจะไม่เคยพบกับเธอเลย แต่เธอก็เป็นรุ่นพี่ที่ผมเป็นแฟนมาตลอด ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ผมต้องขอบคุณแล้วก็บอกกับตัวเองว่าผมควรจะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น
จากสามสิ่งที่จอนโดยอนพูดถึงคุณ คุณคิดยังไงเกี่ยวกับคำที่ว่า “ในฐานะนักแสดง เขามีทัศนคติที่ถูกต้อง”
เวลาให้สัมภาษณ์
ผมถูกถามอยู่เสมอว่า “เป้าหมายของคุณคืออะไร” แล้วทุกครั้ง
ผมก็ตอบว่า “ผมอยากจะเป็นคนดี
เป็นนักแสดงที่ดี”
ผมยังคงขบคิดถึงการทำอย่างไรเพื่อให้เป็นนักแสดงที่ดี ผมคิดว่าผมเจออย่างหนึ่งนั่นคือการเป็นใครสักคนที่สนใจใส่ใจคนอื่น หรือเป็นนักแสดงที่เป็นคนดี ผมคิดว่าการเป็นนักแสดงที่ดีก็น่าจะเป็นอย่างนั้น มีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งเวลาที่ได้เห็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มาก
ๆ มาดูแลผม แล้วผมก็ยังได้เห็นอีกว่า การมีน้ำใจกับทีมงานก็ถือเป็นเรื่องหนึ่งของการเป็นนักแสดงที่ดี ตอนแรกผมสนใจอยู่แค่การแสดงของผม ไม่สนใจเรื่องราวรอบตัวเลย แต่ตอนนี้ผมมีรุ่นน้อง ตอนที่ผมยืนอยู่หน้ากล้อง
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีโอกาสผมจะมองดูทีมงานรอบตัวผม พวกเขาดูเหนื่อยมาก ๆ เมื่อนักแสดงไม่ได้เข้าฉาก เราก็สามารถไปพักที่รถได้ แต่ทีมงานไม่เคยหยุดพักเลย แล้วก็ทำงานหนักอยู่ตลอด
คุณต้องได้ยินมาเยอะแยะมากมายเลยใช่ไหม
ที่ว่าคุณเป็นคนใจดี
ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นคนอบอุ่นนะ
ผมเติบโตมาด้วยการได้รับความรักมากมายจากพ่อและแม่ ครอบครัวของผมรักใคร่กันดี เรามีห้องแชทใน kakao แล้วก็คุยกันทุกวัน แม่ของผมเหมือนเด็กสาววัยรุ่นเลยครับ เธอดูคล้าย ๆ คิมซังรยองใน The Heirs แม่ยังเรียกผมว่า “ลูกชายของแม่, ลูกชายของแม่” หรือไม่ก็ “เด็กน้อยของฉัน” แม้ในตอนที่โกรธเธอก็ยังใจดี เธอจะพูดเพียงแค่ “เก็บไปคิดดูนะ” พ่อของผมตลกมาก
ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผมเติบโตมาในครอบครัวแบบนี้แหละครับ
น้องสาวของคุณต้องมีความสุขแน่ ๆ ที่ได้มีคุณเป็นพี่ชาย
เธอเฉยเมยมากกว่าผมครับ
เธอเหมือนนักรบเลย แล้วผมก็อ่อนไหวง่ายกว่าถ้าเทียบกับเธอเธอ ผมยังร้องไห้บ่อยกว่าเธออีกนะ วิธีที่เธอใช้ดูแลผมก็แตกต่างจากที่คนอื่นเขาทำกัน
บทบาทอะไรที่คุณอยากแสดง
มีเยอะมากเลยครับ
มีอีกหลายบทเลยที่ผมยังไม่ได้ลองทำ
ผมอยากจะแสดงบทที่แสดงความเจ็บปวดทางกาย
แล้วคนดูรู้สึกสงสาร
แล้วก็..... ผมก็ไม่รู้นะ มีบทแบบนั้นเยอะมาก
มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษที่คุณเลือกบทที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดทางร่างกายเป็นบทแรก
ๆ
ตอนที่ผมดู “I Am Sam” ผมรู้สึกขอบคุณ..
ผมรักภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดความอบอุ่นของหัวใจมนุษย์
แล้วผมก็รักภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ผมชอบหนังสือ "The pursuit of
happyness"
แล้วก็ก็ร้องไห้ตอนที่ดูภาพยนตร์ที่วิลล์ สมิธกับลูกชายแสดงด้วยกัน ผมอยากจะแสดงภาพยนตร์แบบนั้นในสักวันครับ
คุณมีแผนจะใช้สองสามวันสุดท้ายในปี 2013 อย่างไร
ผมมีตารางงานจนถึงสิ้นปีครับ
ในวันสุดท้ายของปี
ผมต้องไปเป็นพิธีกรให้กับงานประกาศรางวัล
ต้องขอบคุณนะครับนี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ไปงานประกาศรางวัลด้านละคร
ผมก็เลยกังวลบ้างแต่ก็ยิ่งกังวลมากขึ้นกว่าเดิมอีกเพราะผมต้องเป็นพิธีกรด้วย
มีอะไรที่คุณอยากจะทำในปี 2014 เป็นพิเศษไหม
ผมไม่รู้ว่าปีนี้ผ่านไปได้ยังไง น่าจะเกินปีแล้วนะที่ผมแทบจะไม่มีวันหยุดเลย ผมไม่เคยคิดว่าผมอยากจะใช้แต่ละปียังไง แต่ตอนนี้เราก็กำลังพูดกันเรื่องปี 2014 ผมก็ควรจะเริ่มคิดได้แล้วสินะ อย่างแรกเลย
ผมต้องเลือกงานดี ๆ สักงานเพื่อที่จะแสดงให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีของผม ช่วยติดตามด้วยนะครับ
Thai trans : @Bua2be
Please Take Out With Full Credit.