พินอคคิโอจบลงด้วยการประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ในฐานะนักแสดง
ถือว่านี้เป็นการชดเชยเรื่องอื่น ๆ
ละครประสบความสำเร็จมาก โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีความสุขมากกว่านั้น ปีที่แล้วช่วงเวลาเดียวกันนี้ เหมือนเป็นช่วงของความตกต่ำ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการแสดงไม่มีอะไรน่าสนใจและเป็นเรื่องยากที่จะทำ Doctor
Stranger ก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน
หลังจากความตั้งใจที่มากมายนั้น ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะความยากลำบากจากการที่จะต้องเป็นที่หนึ่งหรือเปล่า ที่ทำให้ผมเหนื่อยมาก ในตอนนั้นถ้าพอมีเวลาผมก็คิดว่าอยากจะพักยาว ๆ
บ้าง แต่เมื่อผมพยายามจะพักไปสักระยะหนึ่ง ทีมIHYV
ก็เริ่มทำงานชิ้นใหม่ ผมก็เลยคิดขึ้นมาได้ว่า “ถ้าพักตอนนี้ ไม่ดีแน่ ๆ “ ผมก็เลยเริ่มทำงานอีกครั้ง
ฉันคิดว่าไม่มีใครรู้เลยนะว่าอีจงซอกก็มีช่วงเวลาที่ตกต่ำ เพราะคุณทำได้ดีมากก่อนหน้านี้ งานของคุณก็เลยออกมาเหมือนไม่มีช่วงพักเลย
เวลาที่ผมมองดูประวัติผลงานตัวเอง
ดูเหมือนว่าจะมีสัก 2 งาน/ปี
ผมทำงานต่อเนื่องแบบไม่ได้หยุดเลย
นี่แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกเหนื่อย
มันยากมากจริง ๆ ตลอดทั้งเรื่องพินอคคิโนจนกระทั่งจบ ผมคิดว่ามันเหมือนกับผมได้รับการเยียวยา นี่เป็นละครที่ดีจริง ๆ
บทที่ได้รับเป็นอย่างไรบ้าง
จริง
ๆ แล้วตอนที่เริ่มแรก ๆ ไม่มีอะไรเป็นที่เป็นพิเศษเลยครับ ถึงแม้เขาจะมีประสบการณ์ที่เจ็บปวด
แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่โดดเด่นที่จะถ่ายทอดออกมาได้เลย นักเขียน
เขียนจากเรื่องราวปกติพื้นฐาน
ทั้งชื่อ ทรงผมสิงโต รองเท้ายาง
ตอนที่ผมค่อย ๆ ถ่ายทำไปเรื่อย ๆ ผมก็พบหนทางว่าผมจะแสดงออกมาได้ยังไง
มันเป็นสถานการณ์ที่น่าอายจริง
ๆ เลย (หัวเราะ)
ผมเองก็ยังตลกกับเรื่องนี้เลยครับ จริง ๆ แล้วผมคิดว่า “ผมจะทำยังไงดีนะถ้าแฟน ๆ
ทิ้งผมไป” (หัวเราะ) นั่นแหละครับทำให้ผมไม่กล้ามองดูตัวเองจนกระทั่งถึงตอนที่ 4
ผมดูน่าเกลียดจริง ๆ นะ
ผมก็แค่ต้องปล่อยวางทุกอย่างแล้วทำมัน
ในช่วงอายุของคุณ คุณควรจะกังวลเกี่ยวกับการจัดการกับภาพลักษณ์ของคุณเมื่อต้องแสดง อย่างในภาพยนตร์ Hot
Young Bloods ถ้าเปรียบกับนักแสดงคนอื่นที่อายุเท่า ๆ กับคุณ ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนเดียวที่กล้าทำแบบนี้
เวลาที่คนอื่นทำแบบนี้ ผมคิดว่าพวกเขามีเสน่ห์มากนะ อย่างโบยองนูน่าที่แสดงใน IHYV
มีคนมากมายที่รักเธอเพราะการแสดงแบบนั้น เวลาที่คนที่สวย ๆ
ทำอะไรที่เหมือนกับการทำลายภาพลักษณ์สวยงามของตัวเอง ผมรู้สึกว่านั่นเป็นเสน่ห์นะ พัฒนาการของผมดีขึ้นกว่าที่ผมคิดว่าผมจะทำได้ ในอนาคตข้างหน้าที่ผมวางแผนไว้ ผมจะทำมันไปแบบนี้ค่อย ๆ ก้าวไปหาเป้าหมายของผมทีละก้าวทีละก้าว แต่ถึงอย่างไร IHYV ก็ทำได้ดีจริง
ๆ เป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งที่ต้องขอบคุณจริง ๆ ครับ
แต่ในทางกลับกันผมก็คิดว่าฟองสบู่นี้จะหายไปโดยเร็วสักที หลังจาก IHYV จบลงผมต้องทำงานอย่างอื่น มันเป็นภาระที่หนักหนาจริง ๆ ครับ
ผมก็แค่อยากจะแสดงเท่านั้นเอง ตอนที่ผมทำ Hot Young Blood ทุกคนคัดค้านหมดเลย แต่บทบาทก็น่าสนใจจริง ๆ เรื่องของการแสดงคือ
คนหนึ่งคนจะแสดงอย่างไรให้แตกต่างกันไปในแต่ละงานแต่ละบทบาทที่แสดงโดยอีจงซอกไม่ใช่เหรอครับ? มันก็เหมือนกับที่คนอื่นคิด
มันมีเรื่องของพื้นเพอย่างช่วงยุคสมัย วิธีการพูด สำเนียง
ผมเลยคิดว่าผู้ชมน่าจะได้มีโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงของผมอย่างช้า ๆ
จนถึงตอนนี้ เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมคิดว่าผมทำได้ดีนะ
ตอนที่คุณได้รับความสนใจจาก
Secret Garden ฉันคิดว่าคุณจะรับบทที่คล้าย ๆ กันแล้วค่อย ๆ
เปลี่ยนไปทีละนิดทีละหน่อย หรืออาจจะใช้เวลาอย่างน้อยมากกว่า 2-3 ปี
แต่ตอนนี้อีจงซอกทิ้งบทบาทที่ทำให้เขามีชื่อเสียงไปแล้ว
นั่นแหละครับที่ผู้กำกับพูดกับผมหลังจากที่ผมแสดงในพินอคคิโอ บทที่ผมรับมีอย่างหนึ่งที่คล้ายกัน ไม่มีบทบาทไหนที่พ่อหรือแม่ของพวกเขามีชีวิตอยู่เลย พวกเขามีปม
มีความเจ็บปวดในแต่ละบทบาท
ผู้กำกับบอกว่า “นายจะต้องมีช่วงเวลาที่สบาย ๆ ได้แสดงบททายาทเศรษฐีแบบที่นักแสดงคนอื่นแสดงบ่อย
ๆ “
สำหรับบทบาทที่มีเรื่องราวเบื้องหลังซับซ้อนที่มีมากขึ้นตามจำนวนตอนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผมนึกภาพตามได้ดี แม้พวกเขา(บทที่ได้รับ)จะยากมากขึ้น
ผมก็จะทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้น
คุณชอบที่จะเลือกบทที่คนอื่นคิดว่ายาก แล้วก็ไม่เคยพักเลย แบบนี้รู้สึกอ่อนเพลียหรือเหนื่อยสะสมบ้างหรือเปล่า?
ก่อนและหลัง
Dr. Stranger ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นแหละครับ การมีชีวิตชีวานี่มันยากจริง ๆ
อย่างวันนี้แม้จะไม่ได้ทำอะไรเลย
ผมก็ยังรู้สึกเหนื่อยจริง ๆ เป็นอะไรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอนที่ถ่ายทำพินอคคิโอผมจะรู้สึกสดชื่นหลังจากที่ได้หลับพักช่วงสั้น
ๆ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะปัญหาอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจผม
ถึงแม้ผมจะรู้ว่ามันยากมากแต่ผมกลับไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลย ผมก็แค่ปล่อยไปตามสบาย ทำตามบท
ทำตามผู้กำกับ
แล้วก็ผ่านช่วงนั้นมาแบบนั้นแหละครับ
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
อาจเป็นเพราะเป็นคนที่ผมไว้ใจใกล้ชิด
ผมก็เลยทำแบบนั้นได้
ผู้กำกับโจซูวอน นักเขียนพัคฮเยรยอน เป็นคนที่ผมไว้วางใจ 100% ความเป็นผู้นำของทั้งสองคนนั้นเยี่ยมยอดมาก ๆ
ผมทำงานนี้เพราะพวกเขามากกว่าที่จะเป็นเพราะบท
ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับนักข่าวแบบนี้ แต่เกือบทั้งหมดแทบจะไม่ประสบความสำเร็จ
แม้จะรู้แบบนี้แต่ผมก็ยังทำเพราะว่ามันทำให้ผมได้ทำงานกับพวกเขา
คุณให้น้ำหนักกับละครและภาพยนตร์พอ
ๆ กัน
ถึงแม้จะไม่ใช่แบบนั้น แต่หลังจาก Dr.
Stranger ผมต้องแสดงภาพยนตร์
และผมก็ยังคิดถึงเรื่องนั้นจนกระทั่งมาแสดงพินอคคิโอ ผมคิดว่าผมได้เรียนรู้จากละครมากกว่า ในละครผมคิดว่าผมเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง แต่ในภาพยนตร์ใครรู้จักผมบ้างล่ะครับ ในความจริงแล้ว ไม่ว่าจะละครหรือภาพยนตร์ ผมก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก เวลาที่มีคนเจอผม เขาจะจำผมได้ในฐานะคนดังไหม
หรือจะจำผมได้ในฐานะนักแสดง พอคิดแบบนี้ก็รู้สึกอายครับ
ผมคิดว่าคนมีคนไม่มากหรอกที่จำผมได้ในฐานะนักแสดง
นักแสดงที่รับบทนำในภาพยนตร์ หากเปรียบเทียบแล้วพวกเขามักจะมีอายุมากกว่าและยังเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ รู้สึกแบบนั้นกับตัวเองบ้างไหม
เมื่อนักแสดง
A กับนักแสดง B ถูกเปรียบเทียบในเวลาเดียวกัน จะไม่ใช่แค่บทบาทที่พวกเขาแสดงออกในงาน
มันจะตามมาด้วยการประเมินว่านักแสดงคนไหนแสดงภาพยนตร์อินดี้มาอย่างต่อเนื่องในขณะที่ก็ทำภาพยนตร์แบบเชิงพาณิชย์ประสบความสำเร็จไปด้วย มันแตกต่างจากคนที่ทำได้ดีกับผลงานทางทีวี
เหมือนกับที่นักแสดงที่มีชื่อเสียงหรือไอดอลไปแสดงมิวสิคัลใช่ไหม
นั่นมันเศร้าหน่อย
ๆ นะครับ ผมก็อยากแสดงภาพยนตร์นะ แต่ไม่อยากจะเป็นนักแสดงนำแบบครึ่ง ๆ กลาง ก่อนหน้าที่ผมจะเดบิวต์
ผมคิดว่าคงไม่มีใครจำผมได้ในฐานะนักแสดงจนกว่าจะอายุ 30 ผมควรจะรีบ
ผมพูดเรื่องนี้ในสัมภาษณ์ด้วยนะ
ผมทำงานที่แตกต่างกันแบบไม่หยุดเลย
ถ้าทำได้ไม่ดีก็จะรู้สึกอาย ผมต้องทำให้ดี ผมทำได้แค่ทำให้ดีเท่านั้น
แต่พินอคคิโอกลับง่ายกว่าเพราะผมไม่ต้องบีบตัวเองแบบนั้น ผมก็แค่ทำมัน
กองถ่ายก็ดี ทีมงานก็ดี
จนตอนนี้ผมก็ชอบละครมากกว่า
แม้ว่ามันจะเหนื่อยมากจนจะตายให้ได้
ในช่วงหลัง ๆ ผมแทบไม่ได้นอนมากกว่า 2 ชั่วโมงเลยเพราะต้องถ่ายทำ
มีบางครั้งที่ทิศทางเปลี่ยนไปจากที่เริ่มไว้ในตอนแรก มันดีมากครับ
ยิ่งผ่านไปหลายตอน ความรู้สึกเข้าถึงก็ยิ่งแน่นหนามากขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นได้เลย เวลาที่มีอะไรที่อยากทำมาก ๆ อ่า...
จะเหมือนร่างกายถูกแผดเผาไปเลยครับถ้าเราสนใจอะไรสักอย่าง
ในทุก
ๆ งานที่ทำ บทบาทที่ได้รับเหมือนกับตัวของอีจงซอก
มันกำลังจะเป็นแบบนั้นครับ
มีคนที่แสดงได้เป็นธรรมชาติ
แต่ก็ยังดูเหมือนแสดงอยู่
อย่างเวลาที่ผมพูด ผมไม่มีความแข็งแรงเลย
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ในละครผมต้องพยายามให้ดีที่สุดที่จะเปล่งเสียงและอ่านบท ใน 60 ฉาก
ถ้าผมมุ่งมั่นตั้งใจสัก 2 ฉาก
ผมก็จะทำให้ฉากอื่น ๆ ผ่านไปด้วย
ผมแค่ต้องกระตือรือร้นกับการแสดงของคนอื่น ๆ ผมใช้ความคิดที่ว่า “เลือกแล้วกิน” ซึ่งหมายความว่า ผมสามารถเลือกที่จะทำได้ดีใน 2 ฉากจากทั้งหมด แต่ต้องไม่มากไปกว่านั้น นั่นคือช่วงเวลาที่การแสดงของผมจะมีคุณค่ามากพอ เวลาที่ผมมองย้อนกลับไป ผมมักจะแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้พูดบทที่มันดูพื้น
ๆ แบบนั้นไปนะ ผมสามารถทำได้ดีสุดๆ
กับสองฉากที่ผมทำได้ในตอนนั้นเท่านั้นแหละครับ
พูดอะไรพื้นๆ?
แทนที่จะพูดแบบนั้น
น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่ผ่อนคลายนะ
สำหรับนักแสดงรุ่นเดียวกับคุณ เรื่องที่ยากที่สุดคือการผ่อนคลายขณะแสดงนะ
ผมต้องตั้งใจอย่างหนักเลยล่ะครับเพื่อที่จะทำมัน
ฉันได้ยินมาว่าคุณไปเข้าชั้นเรียนการแสดงกับนักแสดงหน้าใหม่ด้วย จริงอยู่ที่นักแสดงต้องเข้าชั้นเรียนการแสดง แต่อย่างไรก็ตาม ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีคนอื่นทำแบบนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักแสดงหน้าใหม่
ตอนที่ทำแบบนั้น ผมคิดว่าผมพัฒนาขึ้นเยอะเลย มันไม่น่าสนใจเลยตอนที่ผมทำด้วยตัวเอง อาจารย์ให้บทพูดผม แล้วก็ได้คำแนะนำมาจากอาจารย์ในชั้นเรียนกับนักแสดงคนอื่น
ๆ ตอนที่ผมเห็นนักแสดงคนอื่นแสดงออก
วิธีที่พวกเขาพูดมันทำให้ผมได้เรียนรู้
ถ้ามีใครทำไม่ดีผมก็ได้เรียนรู้ว่าอย่าทำแบบนั้น
เป็นครั้งแรกที่ได้เรียนกับนักแสดงหน้าใหม่ พวกเขาได้ยินว่าจะมีนักแสดงมาร่วมเรียนด้วย แล้วก็แบบพากันมาดูว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหน
นั่นมันเจ็บปวดจนอยากจะตายให้ได้เลยล่ะ
จงซอกดูเหมือนจะเป็นเป็นคนกล้า ๆ นะ
ผมไม่กล้าเลยครับ ผมเป็นคนเก็บตัวมาก ๆ
มันมหัศจรรย์มากเลยที่ผมแสดงได้
ผมไม่มีอะไรที่สนุกสนานในชีวิตเลย
ไม่มีอะไรที่สนใจ ความทะเยอะทะยานนี่นับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับผมเลยที่จะทำอะไรสักอย่าง อย่างเดียวที่ผมทำตอนแสดง ตอนที่ดูงานของผมหลังจากนั้นคือมันทำให้ผมรู้สึกดี เมื่อแสดงทำให้ผมรู้ว่าผมต้องไปเรียนว่ายน้ำทั้งที่ผมเกลียดที่จะทำ เมื่อผมต้องแสดงต่อไป มันก็เลยเป็นเรื่องดีที่ทำให้ผมได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง
สำหรับคนที่ไม่รู้เลยว่าต้องการทำอะไร ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแสดงหรือ?
เมื่อคุณจุ่มเท้าลงไปในน้ำของอุตสาหกรรมบันเทิง มันก็มีปัญหาอื่นตามมาด้วย แล้วทำไมยังอยากแสดงอยู่อีก?
ผมยังเจอกับอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยครับ ผมชอบเวลาที่ได้แสดง อุตสาหกรรมบันเทิงเป็นเรื่องที่แตกต่างจริง ๆ ความจริงคือผมอยากจะรับงานโฆษณาที่ได้เงินเยอะ
ๆ ยกตัวอย่างเช่น
ผมจำต้องส่งข้อความอวยพร แล้วก็เพราะอะไรแบบนั้นแหละครับ มันเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะพูดแต่เรื่องของตัวเองเวลาสัมภาษณ์แต่ก็ยังมีข้อแม้อย่างอื่นอีก ผมถึงรู้ว่ามันยากมาก แต่ก็ไม่มีทางอื่น มันเป็นอะไรที่ผมต้องทำ ผมก็เลยทำ
แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ
นานมาแล้วที่ผมชอบดูทีวี
ตอนที่เรียนมัธยมเข่าผมเจ็บและเอ็นฉีก
ผมจำต้องนอนอยู่บ้าน 6 เดือน
แล้วผมก็ดูทีวีไม่หยุดเลย
ละครเรื่อง Full House ที่เรนแสดงก็ออกอากาศ เขาเจ๋งมาก ๆ
ผมไม่ได้อยากแค่จะแสดงแต่ผมอยากเป็นแบบเรนและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของผม ไม่ว่าจะไปไหน
ผมเกลียดที่จะต้องอับอาย เพื่อที่จะทำให้ดีผมต้องตั้งใจทำงานหนักมาก พอละครออกอากาศ ผมจะดูละครในมุมมองของผู้ชม มองอย่างเป็นกลาง ผู้ชมมองการแสดงของผมเป็นอย่างไรบางนะ ผมคิดอยู่บ่อย ๆ
ว่าทำยังไงจะแสดงได้อย่างนั้นบ้าง
และมันก็ออกจะน่าอาย ผมต้องทำให้ดี
ผมต้องทำให้ดี เมื่อผมทำบ่อย ๆ ก็เลยรู้ว่ามันเหนื่อย...
คุณคิดว่านี่เป็นสิ่งคุ้มค่าพอกับการที่เลือกการแสดงเป็นอาชีพหรือเปล่า
ผมยังไม่มีความคิดเรื่องนี้เลยครับ ที่มันแปลกก็คือ ผมเริ่มที่จะผ่อนคลายแล้วก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ๆ เวลาที่อยู่ในกองถ่าย
แล้วที่นอกเหนือไปจากนั้นผมก็รู้สึกเหนื่อยมากขึ้นด้วย ผมได้ทำความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยว่าทำไมรุ่นพี่ถึงได้พูดว่าการแสดงเป็นอะไรยากขึ้นเรื่อย
ๆ ตราบเท่าที่เรายังทำมันอยู่
แล้วยังไงเหรอ?
นี่คุณยังมุ่งมั่นที่จะทำให้มันยากขึ้นอีกใช่ไหม?
อย่างที่เคยบอก ผมอยากจะทำให้ดีขึ้นอยู่ตลอดแหละครับ แม้แต่จุดเล็กจุดน้อยในบทสนทนา ผมก็อยากจะทำให้เสียงผมเปลี่ยนไปแต่ก็ทำไม่ได้แบบนั้น
แล้วก็เหมือนผมไม่สุขกายสบายใจเพราะเรื่องนั้น มีบางตอนที่ผมจำเป็นต้องตะโกนเสียงดัง ๆ
แต่ผมก็ทำไม่ได้
ก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดออกไปในโทนเสียงที่ต่ำลง เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง ผมก็เลยต้องแสดงไปแบบนั้น
มีเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งเลยที่ทำให้ผมต้องรู้สึกประหม่า
ฉันขอโทษที่พูดเรื่องนี้ แต่ตอนแรกที่เห็นอีจงซอกในทีวี ฉันคิดว่าคุณไม่น่าจะแสดงได้
ทุกคนก็คิดแบบนั้นแหละครับ
(ยิ้มมมมมม)
เสียงของคุณไม่เหมือนกับนักแสดงชายทั่วไป และใบหน้าของคุณก็ไม่ได้ดูแข็งแกร่ง แต่คนก็ยังพูดว่าอีจงซอกแสดงได้ดี ไม่มีนักแสดงคนไหนเหมือนอีจงซอกเลย
แม้แต่ในมุมมองของผมเอง
ผมก็ไม่ใช่คนที่จะถ่ายทอดความคิดที่แข็งแกร่งได้ หน้าของผมไม่เหมาะกับอายุของผม ไม่ใช่ใบหน้าที่จะดูดีอยู่ได้หากมีริ้วรอย ตอนนี้หน้าก็ยังเนียนอยู่ครับมันก็เลยโอเค แต่ถ้าผมแสดงไม่ดี ก็คงไม่มีอนาคตอะไรในอาชีพนี้เลยล่ะ มันก็เลยทำให้ผมอยากแสดงในหนังแบบที่แมน ๆ
ลูกผู้ชายน่ะครับ
แต่ผมก็รู้นะว่าผมจะทำได้ดีและเหมาะกับเมโลดราม่าหรือแบบโรแมนติกมากกว่า ตอนนี้ผมก็เลยแสดงในสิ่งที่ผมทำได้
แล้วก็มองดูว่าอีกไกลแค่ไหนที่ผมจะเปลี่ยนแปลงไปบนเส้นทางสายนี้ นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมเป็นในตอนนี้
แล้วคนแบบไหนล่ะที่คุณชอบ
ผมไม่ได้เรื่องเลยในเรื่องการรักษาความสัมพันธ์
ผมมีโทรศัพท์มือถือสองเครื่องแต่มันก็ไม่ค่อยดังเลย ช่วงที่มีคนติดต่อเยอะ ๆ จะเป็นช่วงที่มีงาน ผมไม่เคยเริ่มต้นติดต่อใครก่อนเลย ผมทำแค่เสิร์ชแล้วก็อ่านข่าวพวกเขา ผมชอบรุ่นพี่คิมซางจุงมาก ๆ (นักแสดงที่รับบทเป็นพ่อของพัคฮุน) แล้วก็รุ่นพี่ยูจุนซาง ผมเคารพทั้งสองคน แล้วก็มีพวกเขาเป็นต้นแบบ รักทั้งสองคนเลยครับแต่ไม่เคยติดต่อไปหาพวกเขาก่อนเลย ผมจะดูตารางงานพวกเขาอยู่ห่าง ๆ
ผมก็ชอบโปรดิวเซอร์โจซูวอนกับนักเขียนพัคฮเยรยอนด้วยนะ แต่ก็ไม่เคยติดต่อพวกเขาเลย บางทีก็คิดว่าพวกเขาอาจจะทำงานอยู่นะ หรือทานอาหารค่ำอยู่ ก็เลยไม่โทรไป
ผมชอบที่จะซ่อนตัวอยู่ที่บ้าน
แล้วก็ดูอะไรที่ทำให้ผมมีความสุขครับ
ชีวิตประจำวันของคุณเหมือนกับนักแสดงหญิงมากเลยนะ
(หัวเราะ) ผมอยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ผมจะออกกำลังกายก็ต่อเมื่อต้องการฟิตร่างกาย ไม่ได้ทำมันเป็นกิจวัตรประจำวัน
ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการดูทีวีที่บ้านอีกแล้ว ผมรักโลกในทีวี เวลาที่ล้มตัวลงนอน ผมมักจะจบลงด้วยการคิดถึงอะไรแบบนี้ คิดถึงแม้กระทั่งว่าผมจะลืมพวกเขาไหมนะ ในดราก้อนบอล Z มีห้องหนึ่งที่เรียกว่า ‘Hyperbolic
Time Chamber’ ที่ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ คุณก็จะยังอยู่ในนั้นได้ ผมเป็นคนแบบนั้นแหละครับ มีบางครั้งที่ผมล้มตัวลงนอนแล้วก็ปล่อยเวลาว่างเปล่าสามชั่วโมงให้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ผมเริ่มแสดง ผมก็ไม่มีเวลาว่างเลย มันเป็นแหล่งเก็บพลังงานของผมครับ ผมทำแบบนั้นก็เพื่อที่จะได้แข็งแรงพอที่จะทำงาน ตอนนี้ผมต้องยอมให้ตัวเองได้พักแล้วล่ะแม้จะในเวลางานก็ตาม ในปีนี้ผมอยากจะมีหนทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุข “ตอนนี้ ผมจะพัก” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีความคิดแบบนี้
ตั้งแต่ผมเริ่มแสดง ผมก็ไม่มีเวลาว่างเลย มันเป็นแหล่งเก็บพลังงานของผมครับ ผมทำแบบนั้นก็เพื่อที่จะได้แข็งแรงพอที่จะทำงาน ตอนนี้ผมต้องยอมให้ตัวเองได้พักแล้วล่ะแม้จะในเวลางานก็ตาม ในปีนี้ผมอยากจะมีหนทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุข “ตอนนี้ ผมจะพัก” นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีความคิดแบบนี้
คุณเคร่งครัดกับตัวเองมากจริง
ๆ
ผมมักจะเป็นคนแรกที่ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของตัวเองอยู่เสมอ
ระหว่างสัมภาษณ์ผมมักจะพูดขึ้นมาเองก่อนที่จะถูกถาม
ถ้าผมพยายามจะปิดบังมันไว้แล้วคนอื่นไปเจอด้วยตัวเอง มันจะยิ่งน่าอายมาก มันน่าอายมากจริง ๆ
ที่ได้ยินเรื่องของบกพร่องของตัวเองจากปากคนอื่น
เรากลับไปคุยเรื่องความตกต่ำของคุณกันเถอะ
คุณบอกว่าละครเรื่องล่าสุดเป็นเหมือนช่วงเวลาพักผ่อนของคุณ
แล้วคุณไม่กลัวอันตรายที่เกิดจากการทำงานเกินตัวหรือ?
ผมไม่ใช่นักแสดงที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
คุณอาจจะพูดได้ว่าผมพัฒนาเร็วมากในขณะที่ทำงานมากมายหลายอย่าง แต่ผมไม่ใช่นักแสดงที่เริ่มจากการรับบทเล็ก ๆ
แล้วเรียนรู้จากคนอื่นผ่านภาพยนตร์อินดี้หรือมิวสิคัล คนพวกนั้นมีพื้นฐานที่แน่นมาก เพราะแบบนั้น
บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนจะตายเวลาที่ต้องเติมเต็มให้ตัวเองเพื่อที่จะได้เดินต่อไป
มีบางครั้งที่ผมรู้สึกว่าพลังงานของผมถูกใช้ไปอย่างเต็มที่แล้ว
นั่นแหละครับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อปีก่อน ผมรู้สึกเหมือนว่าไม่มีอะไรเลยที่ผมจะทำได้อีก
ถึงตอนนี้ผมเข้าใจตัวเองดีขึ้น ในตอนแรก ถ้าต้องร้องไห้ ผมจะต้องฟังเพลงในตอนเช้าก่อน แต่ตอนนี้ผมสามารถร้องไห้ได้เมื่อต้องการ ผมรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้การร้องไห้ก็ยอดเยี่ยมที่สุดแหละครับถ้าเราจะแสดงให้เห็นถึงความเสียใจ ผมอยากจะพัฒนาเรื่องการแสดงเวลาที่ผิดหวังครับ
ถึงตอนนี้ผมเข้าใจตัวเองดีขึ้น ในตอนแรก ถ้าต้องร้องไห้ ผมจะต้องฟังเพลงในตอนเช้าก่อน แต่ตอนนี้ผมสามารถร้องไห้ได้เมื่อต้องการ ผมรู้สึกว่าน่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้การร้องไห้ก็ยอดเยี่ยมที่สุดแหละครับถ้าเราจะแสดงให้เห็นถึงความเสียใจ ผมอยากจะพัฒนาเรื่องการแสดงเวลาที่ผิดหวังครับ
แล้ว
“การแสดงที่ดี” ต่อจากนี้ไปคืออะไร?
ผมก็ไม่มั่นใจกับตัวเองนะแต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือการเป็นนักร้อง นักร้องที่แสดงออกทางอารมณ์ นักร้องที่ร้องเพลงไปคีย์สูง ๆ
เวลาที่ดูการประกวดร้องเพลง
นักร้องที่ร้องเพลงสูง ๆ ได้มักจะเป็นคนที่ชนะตลอดเลย
ตอนที่แสดง การแสดงที่ดีควรเป็นแบบไหนนะ? คือความสามารถในการแสดงออกทางอารมณ์พร้อมกับไหวพริบ หรือการแสดงอารมณ์พร้อมกับรายละเอียดที่ซับซ้อนลึกซึ้งนะ? ผมรู้สึกว่านี่มันยากมากที่จะแสดงออกให้เห็นเวลาที่ต้องอดทนอดกลั้นอารมณ์ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ผมก็ยังไม่เจอว่ามาตรฐานการแสดงที่ดีคืออะไร มันเป็นสิ่งที่ผมต้องมองหาสินะ
ตอนที่แสดง การแสดงที่ดีควรเป็นแบบไหนนะ? คือความสามารถในการแสดงออกทางอารมณ์พร้อมกับไหวพริบ หรือการแสดงอารมณ์พร้อมกับรายละเอียดที่ซับซ้อนลึกซึ้งนะ? ผมรู้สึกว่านี่มันยากมากที่จะแสดงออกให้เห็นเวลาที่ต้องอดทนอดกลั้นอารมณ์ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ ผมก็ยังไม่เจอว่ามาตรฐานการแสดงที่ดีคืออะไร มันเป็นสิ่งที่ผมต้องมองหาสินะ
Thai
trans: @Bua2be
Pic: LJS DC
Pic: LJS DC
ติดตามข่าวสารงานแปลเพิ่มเติมได้ที่ http://89linewoobin.blogspot.com/
Please
Take Out With Full Cred.